เลี้ยงกบอย่างไรให้มีกำไร และเลี้ยงอย่างไรให้เป็นอาชีพได้
สำหรับหลายๆท่านที่มีความสนใจในอาชีพการเลี้ยงกบ หรือหลายๆท่านที่เคยเลี้ยงกบแล้วไม่ประสบความสำเร็จอาจเนื่องจากการตลาดหรือโรคระบาดในกบ ในบทความนี้ผมจะขอนำเสนอแนวทางในการเลี้ยงกบเป็นอาชีพหลัก โดยใช้ทุนครั้งแรกไม่เกินสองหมื่นบาท ถามว่าทำได้อย่างไร จริงๆแล้วมันไม่ได้มีอะไรยากเลยเพียงแต่เป็นอะไรที่หลายๆคนมองข้ามไปเมื่อคิดจะเริ่มต้นเลี้ยงกบ
อ่านมาถึงตรงนี้ท่านคงสงสัยกันแล้วว่าผมหมายถึงอะไรที่บอกว่ามองข้ามคือการมองข้ามเรื่องบางเรื่องที่เล็กน้อยแต่สำคัญของคนที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงกบคือ การตลาดของกบ หลายคนกลัวว่าเลี้ยงแล้วจะเอาไปขายที่ไหน บางคนกลัวว่าถ้าเลี้ยงน้อยพ่อค้าคนกลางจะไม่มารับซื้อ ผมต้องขอบอกว่าความคิดเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิดมากๆครับ เพราะคุณได้มองข้ามการทำผลกำไรสูงสุดในการทำอาชีพเลี้ยงกบไปอย่างไม่น่าให้อภัย คนเลี้ยงกบทั้งเก่าแก่และหน้าใหม่มักจะเลี้ยงกบเพื่อรอให้พ่อค้าคนกลางวิ่งเข้ามากดราคาถึงในบ้าน เพราะอะไร เพราะว่าคุณไม่รู้ว่าจะเอากบที่คุณเลี้ยงไปขายให้ใคร แล้วจะให้ทำอย่าไงไรล่ะในเมื่อถ้าเราไม่ยอมพ่อค้าคนกลางก็จะไม่มารับซื้อ??? มาถึงตรงนี้หลายท่านคงเริ่มตั้งคำถามแบบนี้แล้ว ผมบอกได้เลยว่าถ้าเขาไม่รับซื้อก็ไม่ต้องไปขายเขา เรามีปัญญาเลี้ยงเราก็มีปัญญาขาย ปกติถ้าจะเลี้ยงแบบขายเหมายกบ่อผู้เลี้ยงจะต้องมีกบเนื้อไม่ต่ำกว่า 1 ตัน ต่อครั้งหากมีกบน้อยกว่านี้พ่อค้าคนกลางจะไม่วิ่งมารับซื้อเพราะกบน้อยเขาจะได้กำไรไม่มาก เขาหากินกับน้ำหนักกบของเรา เฉลี่ยตันหนึ่งเขาจะได้กำไรประมาณ 6,000-15,000 บาท มากกว่าเราเลี้ยงกบมาสามเดือนอีก ความเสี่ยงเขาก็น้อยกว่าเราเยอะเพราะเขาทำงานแค่วันเดียวได้เงินเลย หากกบเรามีน้อยเขาก็ไม่อยากมารับซื้อเราเพราะกำไรก็จะได้น้อยลง เพราฉะนั้นถามว่าในวงการนี้จำเป็นต้องมีพ่อค้าคนกลางไหม ส่วนตัวผมมองว่าไม่จำเป็น เพราะถ้าผู้เลี้ยงกล้าที่จะไปติดต่อนำเสนอขายกับหน้าแผงเองพ่อค้าคนกลางก็หมดความหมายแถมผู้เลี้ยงเองก็จะได้กำไรมากกว่าการขายให้กับพ่อค้าคนกลางเพื่อให้เขากินเราอีกทอดหนึ่งด้วยซ้ำไป
พอกล่าวไปแบบนี้หลายท่านอาจยังสงสัยอยู่ว่าแล้วจะไปติดต่อหน้าแผง พ่อค้าปลา ร้านอาหารป่าได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาเหล่านี้มักมีขาประจำคือพ่อค้าคนกลางที่วิ่งมารับซื้อกบพวกเรานั่นแหละ ผมจะของลองให้ท่าตั้งสมมติฐานว่าหากท่านเคยซื้อเนื้อหมูกันอยู่กับพ่อค้าคนหนึ่งเป็นประจำในราคาที่พอรับได้อย่างไรก็ต้องซื้อเพราะมีเขาคนเดียวที่มีเนื้อหมูจำหน่ายอยู่ในหมู่บ้านที่ท่านอยู่แต่พออยู่มาวันหนึ่งมีพ่อค้าใหม่รายหนึ่งเดินทางมาจากอีกหมู่บ้านมานำเสนอขายเนื้อหมูที่มีคุณภาพมากกว่า ราคาถูกกว่า พ่อค้าคนเดิมอีกทั้งยังแถมเศษหมูให้ท่านอีกด้วยเป็นท่านจะเลือกซื้อเนื้อหมูกับใครต่อไป ถ้าเกษตรกรผู้เลี้ยงกบหันมาเดินเกมส์การตลาดกันแบบนี้ผมรับประกันว่าพ่อค้าคนกลางคงได้หันไปทำอาชีพอย่างอื่นกันอย่างแน่นอนเพราะเท่ากับว่าเขาจะมีต้นทุนที่สูงกว่าคนเลี้ยงทันที เราเลี้ยงเองสามารถกำหนดคุณภาพและราคาได้ เพียงแค่เรากล้าที่จะเอาของที่เราเลี้ยงมาไปขายเอง ที่สำคัญการทำตลาดในรูปแบบนี้ค่อนข้างเป็นแนวทางที่ยั่งยืนทำให้เราสามารถเลี้ยงกบเป็นอาชีพหลักได้เลยเพราะมีรายได้เข้ามาทุกวัน จากเดิมเราเลี้ยงกบส่งพ่อค้าคนกลางขายแบบยกบ่อเราจะต้องมีกบไม่ต่ำกว่าหนึ่งตัน แต่ถ้าเราขายส่งหรือขายปลีกโดยไม่ผ่านคนกลาง เราจะมีกบเท่าไรก็ได้เอาแค่เพียงพอต่อการจำหน่ายของเรา ลองคิดเล่นๆนะครับกบขายแบบยกบ่อให้พ่อค้าคนกลาง ราคาเฉลี่ย 40-55 บาท ตลอดทั้งปี แต่ราคาขายส่งกบอยู่ที่ 65-90 บาทตลอดปี และราคาขายปลีก 80-120 บาท ตลอดปี มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ถ้าคิดจะขายกันจริงๆผมว่ากบ 500 กก ไม่เกินสัปดาห์เดียวก็ขายหมดเกลี้ยงแล้ว
แล้วควรจะลงทุนเท่าไร ลงเลี้ยงครั้งแรกควรลงกี่ตัว ???
ตรงนี้ผมตอบง่ายๆเลยว่าให้ท่านลองไปสำรวจในพื้นที่ที่ท่านอยู่ว่าผู้บริโภคกบมีเยอะน้อยเพียงใดและท่านตั้งเป้าไว้ว่าท่านจะขายกบเนื้อได้วันละกี่กิโลกรัม เพราะข้อมูลตรงนี้แต่ละคนมีความแตกต่างกันปัจจัยขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ ถ้าผู้เลี้ยงอยู่ภาคที่มีความต้องการบริโภคกบมากๆ เช่น ภาคเหนือ หรือ ภาคอิสาน เราอาจขายกบเนื้อได้วันละหลายสิบกิโลหรืออาจเป็นร้อยกิโลกรัมต่อวัน แต่ถ้าในโซนภาคอื่นๆ อาจขายได้วันละไม่เกิน 30 กิโลกรัม จำนวนการเลี้ยงจึงขึ้นอยู่กับการตลาดของแต่ละพื้นที่มากกว่า
* * * * *
ที่มา : kkfrogfarm.blogspot.com
เลี้ยงกบแล้วไม่มีที่ขาย ขายได้ที่
ตลาดกลาง "ซื้อ-ขาย สินค้าเกษตร"
ที่สมาชิกเยอะที่สุด
ตลาดกลาง "ซื้อ-ขาย สินค้าเกษตร"
ที่สมาชิกเยอะที่สุด
VV คลิก VV
กลุ่มเฟซบุ๊ก : ตลาดกลาง ซื้อ-ขายสินค้า เกษตร
แชร์...ตรงนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ ให้เพื่อนที่ได้เห็น
VVVVVVVVV